เมื่อวันก่อนไปเข้าฟังเกี่ยวกับเรื่อง Telehealth & rehabilitation for the long-term care
of people with chronic condition ได้ความรู้ใหม่ๆมาเพียบเลย เนื่องจากว่าสังคมอังกฤษในสมัยนี้
กำลังจะก้าวสู่ Aging population เหมือนที่ญี่ปุ่น และภายในไม่เกิน20 ข้างหน้า
ประเทศไทยบ้านเราก็กำลังจะตามมาติด..สังคมที่จะมีผู้สูงอายุเยอะกว่าวัยแรงงาน
เนื่องจากกว่าเรามีระบบการแพทย์ที่ดีขึ้น คนมีอายุยืนยาวขึ้น อัตราการเกิดน้อยลง
แต่การที่คนเรามีอายุยืนขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีสุขภาพที่ดีเสมอไป
ลองหลับตาแล้วนึกภาพตัวเองตอนอายุ 60-70 ปี ถ้าเราแข็งแรงดี มันก็โอเคอยู่หรอกนะ
แต่ถ้าเราเกิดป่วย ด้วยโรคหัวใจความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือว่าโรคเรื้อรังต่างๆหล่ะ..
เราจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างไร? บางคนอาจจะโชคดีที่มีลูกหลานดูแล
แต่ก็มีแนวโน้มว่าอีกหน่อยจะมีผู้สูงอายุที่โดดเดี่ยว ไม่มีคนดูแลอยู่อีกไม่ใช่น้อยๆ
ถึงแม้ผู้สูงอายุบางคนจะมีครอบครัวหรือลูกหลาน..ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโชคดีมีลูกหลานดูแลกันทุกคน..
มีผู้สูงอายุอีกหลายๆคนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง..
ยกตัวอย่างสถานการณ์ในประเทศอังกฤษตอนนี้ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมามีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 85 ปี
จำนวนเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าและคาดประมาณว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
ประมาณ 69% ของการจัดสรรงบประมาณในระบบสุขภาพในอนาคตจะต้องลงไปที่เรื่องของการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับ Telehealth และ Telecare จึงเข้ามามีบทบาทเพื่อให้ผู้ที่ต้องการผู้ดูแลเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ
ภายใต้ Concept ที่เรียกว่า QIPP
Q= Quality หมายถึง คุณภาพในแง่ความปลอดภัยของผู้ป่วย, ประสิทธิภาพการรักษา
I = Innovation คือการใช้กลวิธี หรือเทคโนโลยีใหม่ๆที่ไม่เคยมีการใช้มาก่อนเข้ามาสู่ระบบสุขภาพ
P= Productivity หมายถึง “Getting more for less” ได้ผลประโยชน์มากแต่ไม่ต้องจ่ายแพง..
P= Prevention หมายถึง การป้องกันการเกิดโรคในประชากรกลุ่มใหญ่ รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ป่วย long-term condition
สามารถที่จะดูแลตัวเองได้
ซึ่งแนวคิดนี้นำมาสู่การใช้เทคโนโลยีในการช่วยดูแลสุขภาพของคนทั้งระบบ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนผ่านจากที่คนไข้
ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเป็น hospital base care ไปสู่ระบบ ที่เรียกว่า hospital and community based care
ซึ่ง Telehealth และ Telecare นั้นเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพในอังกฤษ เพื่อให้คนไข้
เข้าถึงบริการสุขภาพได้แม้ว่าตัวเองอยู่แต่ในบ้าน สร้างความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในบริการ
คำว่า TELE เป็นคำภาษาละติน มีความหมายว่า “at the distance” หรือที่อยู่ห่างไกลกันออกไป..จริงๆแล้ว
ไม่ใช่คำใหม่เพราะเราใช้คำว่า Tele กันมานานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น TELEscope(กล้องสองทางไกล),
TELEvision(โทรทัศน์) หรือแม้แต่ TELEphone(โทรศัพท์) เมื่อนำคำว่า TELE เอามาใช้กับระบบสุขภาพ
จีงมี TELE ออกมาอีกมากมาย แต่ก็ยังหมายความถึงการดูแลสุขภาพที่ห่างไกลกันออกไป
ซึ่งจะเฉพาะเจาะลงไปในศัพท์แต่ละคำว่าดูแลในด้านไหนบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น
- Telehealth – การดูแลสุขภาพตนเองเป็น self care management ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
เช่น วัดความดันเลือดแล้วเครื่องมือจะส่ง ผลการวัดไปยังทีมแพทย์ เพื่อแนะนำการให้ยาหรือการควบคุมอาหาร เป็นต้น
- Telecare – การดูแลสุขภาพผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเทคโนโลยี ในการควบคุม กำกับ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไข้ โดยใช้ระบบ real time
- Telemonitoring – การใช้เทคโนโลยีในการควบคุมการรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยที่ผู้ป่วย
ไม่ต้องเดินทางมาหาหมอที่โรงพยาบาล
- mhealth – การใช้มือถือ หรือ mobile divice จำพวก PDA มาช่วยในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย
- Teletriage – การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและอาการเจ็บป่วยทางโทรศัพท์ ซึ่งคำว่า “Triage” ในที่นี้หมายถึง sort out
- Telecoaching – ย่อยลงมาจาก telehealth คือการ train เจ้าหน้าที่ผู้ดูและทางสุขภาพ ผ่านระบบเทคโนโลยีออนไลน์
- ehealth – การให้ข้อมูลทางสุขภาพผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
- Telemedicine – ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ผ่านการสื่อสารทางไกล ระหว่างหมอกับคนไข้โดยตรง
- Telerehabilitation- เป็นการใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลมาช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย เช่นการสอนทำกายภาพบำบัดออนไลน์ หรือผ่านเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
ซึ่งโดยภาพรวมแล้วการใช้ TELE- อะไรก็ตามที่เป็นเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นช่วยในการพัฒนาระบบสุขภาพหลักๆ
ได้ 5 ด้านด้วยกัน ก็คือ
- Clinical improvement – การรักษาพยาบาลและการเข้าถึงบริการสุขภาพดีขึ้น
- Quality of life benefit – คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เนื่องจากสามารถดูแลตัวเองและรับบริการจากที่บ้าน
- Cost saving – ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง การรอตรวจ เป็นต้น
- Productivity improvement – บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม
- Environmental benefit – ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะว่าไม่ต้องใช้การเดินทาง เติมน้ำมัน หรือการขนส่งใดๆ
ถึงแม้ว่าบริการสุขภาพจะพยายามปรับเปลี่ยนให้ก้าวหน้าเข้าถึงได้ดีมากขึ้นแค่ไหน สิ่งสำคัญก็ยังอยู่ที่การดูแลสุขภาพ
ของตัวเองไม่ให้ป่วยในโรคที่เราป้องกันได้จะดีที่สุด..ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อโรคยา ปรมาลาภา”
“การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” นั่นเอง
ลองดูตัวอย่างเกี่ยวกับ Telehealth ที่คลิปนี้นะจ๊ะ
Very interesting. I am trying to encourage our mph students to seriously consider of how to make use of IT in health care as well. Hope to see community-based surveillance of population, health, and disease program using IT
initiated by our student in some districts of Thailand.