ทรัพย์สินทางปัญญา..หรือ Intellectual Property เป็นคำที่ใช้กันมานานแล้วในสังคม
ตะวันตก…สำหรับบ้านเราก็ให้ความสำคัญกันมากขึ้น ตั้งแต่มีข่าวคราวเรื่องของการจด
ทะเบียนลิขสิทธิ์ข้าวหอมมะลิ ที่โดนทางหน่วยงานวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวของอเมริกา
ศึกษาปรับปรุงทางพันธุกรรมภายใต้โครงการวิจัย Stepwise Program for
Improvement of Jasmine Rice for the United States ..ที่วิจัยจนได้พันธุ์ข้าว
ที่ใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทยและจะทำการจดทะเบียนเลยเป็นกระแสปลุกให้บ้านเรา
เริ่มตื่นตัวกันมากขึ้น..ก็ข้าวหอมมะลิต้นกำเนิดอยู่บ้านเราแท้ๆ อีกหน่อยถ้าประเทศใหญ่ๆ
อย่างอเมริกาผลิตได้เองแถมจดลิขสิทธิ์เป็นชื่อประเทศเค้าแล้วบ้านเราจะซื้อข้าวกินในราคา
เท่าไหร่?? ไหนจะเรื่องส่งออกอีก..อันนี้หลังจากเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งรัฐบาลออกมากระตือ
รือร้นอยู่พักนึงแล้วตอนนี้ก็เงียบหายไป..มีใครรู้บ้างว่าผลเป็นอย่างไร วานบอกกันนะจ๊ะ
แม้แต่กระทั่งรถตุ๊กตุ๊ก บ้านเราที่จัดว่าเป็นแท๊กซี่ยอดนิยมในดวงใจของนักท่องเที่ยว
อันดับที่ 5 ของโลก..ถูกใจฝรั่งจนเค้าเอาไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยบริษัท
MMW TUKTUK ประเทศอังกฤษ ที่นำเข้าเครื่องยนต์แล้วไปดัดแปลงประกอบเป็นรถตุ๊กๆ
ขายในราคาประมาณ 4 แสนบาทไทย..ลองเข้าไปดูกันเล่นๆ
ได้ที่เวป http://www.tuk-tuk.co.uk/ ที่น่าปวดใจคือเค้าเอาว่าตุ๊กตุ๊กไปใช้..บ้านเรา
ไหวตัวช้าไปหน่อยเลยจดทะเบียนรถตุ๊กตุ๊กบ้านเราชื่อว่า “รถไทยไชโย” ….
แต่ในทางกลับกัน..บ้านเราก็ใช่ย่อยมีสินค้าแบรนด์เนมที่ก๊อปปี้มาก็เยอะ หรือพวก
เทปผี ซีดีเถื่อนก็ติดอันดับต้นๆของโลกเหมือนกัน..หุหุหุ
ดังนั้นเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาจะว่าใกล้ตัวเราก็ใกล้ตัวนะ เป็นสิ่งที่เรา
เวลาที่มีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ก็จะต้องมีการ
จดทะเบียนสิทธิ์บัตรเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นและป้องกันการหา
ประโยชน์เชิงธุรกิจจากคนภายนอก….ซึ่งประเภทของทรัพย์สินทางปัญญานั้น
ก็แบ่งประเภทออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.สิทธิบัตร(Patent) เมื่อมีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่ๆอย่างเช่น รถบินได้
มอเตอร์ไซค์สะเทินน้ำสะเทินบก..หรือยาที่กินแล้วหน้าตาดี วิธีการผลิตใหม่ๆหรือกระบวน
การใหม่ๆที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้..เราสามารถยื่นขอจดสิทธิบัตรเป็นของเราได้
โดยหากมีใครนำแนวคิดนี้ไปใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจเราก็สามารถได้เงินจากธุรกิจนั้นได้ด้วย
แต่ที่สำคัญคือก่อนที่จะจดจะต้องทำการตรวจสอบก่อนว่ามีใครบนโลกใบนี้คิดหรือสร้าง
อะไรขึ้นมาเหมือนกันในเวลาเดียวกับเราหรือเปล่า ซึ่งสิทธบัตรนี้จะไม่เหมารวมแนวคิด
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือการค้นพบสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติคนแรก..เช่นไอส์สไตน์ ค้นพบ
ทฤษฏีสัมภันธภาพหรือว่า หรือเซอร์ไอแซคนิวตัน ค้นพบหลักของแรงโน้มถ่วง, หรือ
นาย ก. ค้นพบแมลงกุดจี่คนแรกของโลก..ก็ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ สิทธิบัตรส่วนใหญ่
จะใช้กับเรื่องของสิ่งประดิษฐ์ หรือกรรมวิธีการผลิต เสียมากกว่า
2.เครื่องหมายการค้า(Trademark)..คือ เครื่องหมาย ข้อความหรือสัญลักษณ์ที่แสดง
ถึงสินค้าหรือบริการนั้นๆ ยกตัวอย่างสุดคลาสสิคคือ โคคาโคล่า..ต่อให้เรา
สามารถผลิตเครื่องดื่มสีดำอัดแก้สมีรสหวานได้ใกล้เคียงกับโคคาโคล่า..เราก็ไม่สามารถใช้
ชื่อโคคาโคล่าได้ ต้องจดทะเบียนเป็นชื่ออื่น…ซึ่งเครื่องหมายการค้าก็จะเหมารวมไปถึง
คำ ยี่ห้อ โลโก้ เสียง(เช่นเสียงขึ้นต้นเวลาร้องคาราโอเกะของแกรมมี่) กลิ่น หรือสัมผัส..
ได้หมด แต่ก็มีข้อจำกัดเหมือนกันในเรื่องของการใช้ชื่อ ถ้าสมมติว่าผลิตยามาตัวหนึ่ง แต่
ใช้ชื่อว่า Getwell หรือ Heatlhy ก็ไม่ได้เพราะมันจะทำให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตีเจตนาของ
สินค้าชนิดนั้นผิดไป ทั้งนี้แต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดเพิ่มเติมไม่เหมือนกันนะจ๊ะ
3.Design right (สิทธิ์การออกแบบ) อันนี้ไม่รู้แปลภาษาไทยถูกหรือเปล่า..แต่ยกตัวอย่าง
ก็จะเป็นพวก การออกแบบเครื่องประดับ ออกแบบรถยนต์ กระเป๋า เสื้อผ้า ลายผ้า เป็นต้น
สิทธิ์การออกแบบนี้จะมีทั้งแบบจดทะเบียน(มีอายุ 25ปี) แบบไม่จดทะเบียน(10ปี)
และลิขสิทธ์ทางอุตสาหกรรม (ตลอดช่วงอายุของคนออกแบบ+ไปอีก 70 ปี)
แต่โดยปกติแนวคิดหรือไอเดียที่เกิดขึ้นมาเมื่อสร้างหรือผลิตขึ้น
มาแล้วนั้นก็ถือว่าสิทธิ์ไอเดียนั้นเป็นของผู้ออกแบบอยู่แล้ว
4.ลิขสิทธิ์ (Copyright ) นั้นจะรวมไปถึงผลงานต่างๆ เช่น งานเขียน ภาพถ่าย ภาพวาด
เพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานออกแบบอาคารของสถาปนิก เพื่อป้องกันการลอกเลียน
แบบ การหาประโยชน์ทางธุรกิจเช่นกัน.. อันนี้ไม่จำเป็นต้นจดทะเบียนก็ได้เพราะลิขสิทธิ์
จะถือเป็นของบุคคลผู้นั้นตั้งแต่เค้าสร้างมันขึ้นมา..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเราไม่ระมัดระวัง
ก็งานของเราก็อาจจะถูกนำไปใช้โดยที่เราไม่ได้ประโยชน์หรืออาจถูกเอาไปแอบอ้างก็ได้
อย่างเช่นงานเขียนที่เขียนตามเวปไซค์ หรือฟอร์เวิร์ดเมลล์ต่างๆ แล้วนำไปแอบอ้างว่า
เป็นงานของตัวเอง หรือภาพถ่ายสวยๆที่เราถ่ายไว้แต่ไม่ได้ใส่เครดิตให้ตัวเอง
ก็อาจจะมีคนเอาภาพที่เราถ่ายไปใช้ประโยชน์ก็ได้..
แต่ยังไงก็ตามอะไรที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต หรือการค้นพบ
ต่างๆ รวมถึงความคิด..ที่แค่คิดแต่ไม่ได้ทำอะไรเลยนั้นเราไม่สามารถถือว่า
เป็นทรัพย์สินทางปัญญาได้นะจ๊ะ
อยากรู้เพิ่มเติมเชิญไปที่